ศิลปะโรมาเนสก์
(Romanesque art)
ศิลปะโรมาเนสก์ (Romanesque art) หรือเรียกกันว่า ศิลปะนอร์มัน หมายถึง ศิลปะที่เกิดขึ้นในยุโรปราวคริสต์ศตวรรษที่11ถึงปลายคริสต์ศตวรรษ12ศิลปะแบบโรมาเนสก์พื้นฐานของศิลปะกอธิตคซึ่งเริ่มมีบทบาทเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษ
13 การศึกษาเรื่องศิลปะยุคกลางเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่19-20 ทำให้มีการจัดแบ่งศิลปะเป็นสมัยๆคำว่า โรมาเนสก์เป็นคำที่ใช้บรรยายศิลปะตะวันตกโดยเฉพาะ
สถาปัตยกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างคริสต์ศตวรรษ 11ถึง12 คำนี้ทั้งมีประโยชน์และทำให้มีความเข้าใจผิดคำนี้มาจากการทีช่างปั้นจากประเทศฝรั่งเศษทางไต้ไปจนถึงประเทศสเปนมีความรู้เรื่องส่วนประกอบของอนุเสาวรีย์แบบโรมันแต่ศิลปะแบบโรมาเนสก์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความคิดของศิลปะแบบโรมัน เป็นการฟื้นฟูวิธีการก่อสร้างแบบโรมันเช่นเสาที่ใช้ในอาราม Saint-Guilhem-le-Désertหัวเสาวัดนี้แกะเป็นรูปใบอาแคนธัส(acanthus)ตกแต่งด้วยรอบปรุซึ่งจะพบตามอนุสาวรีย์แบบโรนมัอีกตัวอย่างหนึ่งคือเพดานวัดที่ Fuentidueña ประเทศสเปนเป็นแบบโค้งเหมือนถังไม้(barrel vault) ซึ่งใช้กันทั่วไปในสิ่งก่อสร้างของโรมแม้จะเน้นความเกี่ยวข้องกับวิธีการก่อสร้างแบบโรมันนักประวัติศาสตร์ศิลปะมืได้กล่าวถึงอิทธิพลอื่นๆที่มีต่อศิลปะแบบโรมาเนสก์
เช่นศิลปะทางตอนเหนือของทวีปยุโรป และ ศิลปะแบบแทนไซน์ การวิวัฒนาการของ
ศิลปะโรมาเนสก์เอง
สมัยนั้นระบบอาราม หรือ สำนักสงฆ์ (monasticism) มีความนิยมกันมาก ปัจจัยนี้ทำให้ศิลปะของ โรมาเนสก์เผยแพร่อย่างรวดเร็ว
เพราะมีการสร้างอารามใหม่ขึ้นทั่วไปในทวีปยุโรประยะนั้นมีการสถาปนานิกายใหม่ๆ
ขึ้มากรวมทั้ง นิกายซิสเตอร์เชียน (Cistercian),คลูนิค(Cluniac)และ คาร์ธูเชียน (Carthusian) เมือมีนิกายใหม่ก็มีผู้ติดตาม
เมื่อมีผู้ติดตามก็ต้องมีการสร้างอารามใหม่ขึ้นทั่วยุโรป
อารยรรมใหม่นี้นอกจากจะเป็นแหล่งการศึกษาทางศาสนาแล้ว
ทางวัดก็ยังมีการคัดหนังสือจากภาษาละติน และกรึก รวมทั้งหนังสือที่แปลมาจากภาษาภาษาอาหลับ ทางวิชาคณิตศาสตร์และแพทย์ศาสตร์หนังสือเหล่านี้แต่ละหน้าจะตกแต่งด้วยลวดลายอย่างหยดย้อยสวยงาม
ศิลปะการตกแต่งหนังสือเรียกกันว่าหนังสือวิจิตร
อิทธิพลทางศาสนา
โรมาเนสก์เป็นศิลปะที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงก้บคริสตร์ศาสนา สถาปัตยกรรมโร-มาเนสก์สื่อสารให้คริสต์ชนได้เห็นถึงแก่นของความเชื่อทางศาสนา
จากหน้าจั่วที่มักจะเป็นรูปสลักนูนต่ำของการตัดสินครั้งสุดท้าย (Last Judgment) เนื้อหาและความน่าเกรงขามของฉากนี้ทำให้ผู้เห้นมึความรู้สึกว่ากำลังเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเข้าไปภายในก็จะเห็นภาพเขียนฉากต่างๆจากคัมภีรืไบเบิลทั่วไปทั้งวัดไม่ว่าจะเป็นที่ประตู บนเสาหรือผนัง ภาพเขียนโร- มาเนสก์มีอิทธิพลโดยตรงมาจากศิลปะแบบไบแซนไทน์
แต่งานของศิลปินโรมาเนสก์จะมีความเป็นนาฏกรรมมากขึ้นและมีความอ่อนช้อยกว่าไบแซนไทน์เห็นได้จากความพริ้วของเสื้อผ้า
องค์ประกอบนี้ทำให้ผู้ดูเกิดความสะเทือนทางอารมณ์มากกว่าศิลปะยุคก่อนหน้านั้น มีลักษณะของการผสมสานระหว่างศิลปะโรมันกับศิลปะของอนารยชนเยอรมันในช่วงคริศต์ศตวรรษที่
11-12
ได้แก่
1 .งานสถาปัตยกรรม จะมีลักษณะเด่นคือ การสร้างวิหารขนาดใหญ่เป็นศูนย์กลางของวัด
หลังคารูปโค้ง แต่มิใช่หลังคาโดมเหมือนศิลปะไบแซนไทน์ อาคารหนาทึบ คล้ายป้อมปราการ
มีหน้าต่างแบบวงล้อเป็นรูปวงกลมที่ถูกแบ่งออกเป็นซี่ๆ ผลงานชิ้นสำคัญ
คือวิหารแซงต์เอเตียนน์ ในฝรั่งเศส และหอเอนปิ ซา ในอิตาลี สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ (Romanesque
architecture) เป็นคำที่บรรยายลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตกที่เริ่มราวปลายคริสต์ศตวรรษที่
10 ไปจนถึงสมัยสถาปัตยกรรมกอธิคระหว่างคริสต์ศตวรรษที่12 สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ที่อังกฤษจะเรียกกันว่า “สถาปัตยกรรมนอร์มัน”
ลักษณะเด่นๆของสถาปัตยกรรมยุคนี้คือความเทอะทะ เช่นความหนาของกำแพง
ประตูหรือหลังคาเพดานโค้งประทุน เพดานโค้งประทุนซ้อน การใช้โค้งซุ้มอาร์เคดในระหว่างช่วงเสาหนึ่ง ๆ
และในแต่ละชั้นที่ต่างขนาดกัน เสาที่แน่นหนา หอใหญ่หนัก และ
การตกแต่งรอบโค้ง (เช่นซุ้มประตูหรืออาร์เคด (arcade) ลักษณะตัวอาคารก็จะมีลักษณะเรียบ
สมส่วนมองแล้วจะเป็นลักษณะที่ดูขึงขังและง่ายไม่ซับซ้อน สถาปัตยกรรมกิธิคที่ตามมา
สถาปัตยกรรมจะพบทั่วไปในทวีปยุโรปไม่ว่าจะเป็นประเทศใดหรือไม่ว่าจะใช้วัสดุใดในการก่อสร้าง สถาปัตยกรรม เป็นการก่ออิฐฉาบปูน มีหลังคาทรงโค้งกากบาทและมีลักษณะสำคัญ คือมีความหนักแน่น
ทึบคล้ายป้อมโบราณ
2.มีหอสูง 2
หอ หรือมากกว่านั้น
3.มีช่องเปิด
ตามหน้าต่างหรือประตูทำเป็นโครงสร้างวงโค้งวางชิด ๆ กัน
4.มีหัวคานยื่นออกนอกผนัง เป็นคิ้วตามนอนนอกอาคาร
5.มีหน้าต่างแบบวงล้อ
เป็นรูปวงกลมที่ถูกแบ่งออกเป็นซี่
สำหรับงานศิลปกรรมอื่นๆ
ส่วนมากมักเป็นงานแกะสลักงาช้างขนาดเล็กๆ หรือไม่ก็เป็นงานที่เขียนบนหนังสือแบบวิจิตร
เรื่องราวของงานศิลปะจะนำมาจากพระคัมภีร์ฉบับเก่าและใหม่ ตำนานโบราณ ชีวประวัตินักบุญรูปเปรียบเทียบความดีกับความชั่ว
หรือลวดลายต่างๆ เป็นรูปดอกไม้ และรูปเรขาคณิต
2.จิตกรรม งานจิตรกรรมฝาผนังที่แสดงถึงเรื่องราวทางศาสนา เขียนด้วยสีปูนเปียก (Fressco)ตกแต่งผนัง ซึ่งปัจจุบันได้ถูกทำลายโดยดินฟ้า อากาศ เสียหายเป็นส่วนใหญ่ และได้รับการเขียนทับใหม่โดยศิลปินในสมัยต่อมา จิตรกรรมอีก ลักษณะหนึ่งคือจิตรกรรมประกอบหนังสือหรือประกอบคัมภีร์ไบเบิล ในช่วงพุทธศ ตวรรศที่ ๑๖-๑๗ จิตรกรรมโรมาเนสก์มีรูปร่างลักษณะแบน และแสดงเส้นเป็นระเบียบมั่นคงที่มีพลังจาก การบิดเอี้ยว และวนเป็นวง ผลงานจิตรกรรมภายหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เริ่มมีมิติทางรูปทรงอย่างงานประติมากรรมมากขึ้น แต่ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา เท่าไรนัก อิทธิพลของศิลปะไบเซนไทน์มักมีปรากฏอย่างชัดเจนในส่วนของเสื้อผ้าที่เป็นรอย ยับจีบคล้ายรูปเรขาคณิต การจัดวางท่าทางรูปคนให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
3.งานประติมากรรม ส่วนใหญ่เป็นงานแกะสลักหินตามฝาผนังเหนือประตูหน้าต่าง สถาปัตยกรรมเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล เกี่ยวกับคริสต์ศาสนา ใช้ลวดลายแบบเรขาคณิตตามแบบชนเผ่าเยอรมันโบราณ รูปแกะสลักมักยาวเรียวไม่เหมือนจริง ซึ่งแตกต่างจากศิลปะกรีกและโรมันที่เน้นรูปทรงสัดส่วนเหมือนจริงตามธรรมชาติ เช่นรูปพระเยซูบนประตูทางเข้าโบสถ์แซงฟังฝรั่งเศส
2.จิตกรรม งานจิตรกรรมฝาผนังที่แสดงถึงเรื่องราวทางศาสนา เขียนด้วยสีปูนเปียก (Fressco)ตกแต่งผนัง ซึ่งปัจจุบันได้ถูกทำลายโดยดินฟ้า อากาศ เสียหายเป็นส่วนใหญ่ และได้รับการเขียนทับใหม่โดยศิลปินในสมัยต่อมา จิตรกรรมอีก ลักษณะหนึ่งคือจิตรกรรมประกอบหนังสือหรือประกอบคัมภีร์ไบเบิล ในช่วงพุทธศ ตวรรศที่ ๑๖-๑๗ จิตรกรรมโรมาเนสก์มีรูปร่างลักษณะแบน และแสดงเส้นเป็นระเบียบมั่นคงที่มีพลังจาก การบิดเอี้ยว และวนเป็นวง ผลงานจิตรกรรมภายหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เริ่มมีมิติทางรูปทรงอย่างงานประติมากรรมมากขึ้น แต่ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา เท่าไรนัก อิทธิพลของศิลปะไบเซนไทน์มักมีปรากฏอย่างชัดเจนในส่วนของเสื้อผ้าที่เป็นรอย ยับจีบคล้ายรูปเรขาคณิต การจัดวางท่าทางรูปคนให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
3.งานประติมากรรม ส่วนใหญ่เป็นงานแกะสลักหินตามฝาผนังเหนือประตูหน้าต่าง สถาปัตยกรรมเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล เกี่ยวกับคริสต์ศาสนา ใช้ลวดลายแบบเรขาคณิตตามแบบชนเผ่าเยอรมันโบราณ รูปแกะสลักมักยาวเรียวไม่เหมือนจริง ซึ่งแตกต่างจากศิลปะกรีกและโรมันที่เน้นรูปทรงสัดส่วนเหมือนจริงตามธรรมชาติ เช่นรูปพระเยซูบนประตูทางเข้าโบสถ์แซงฟังฝรั่งเศส
กล่าวโดยว่า ศิลปะโรมาเนสก์มีแหล่งกำเนิดสำคัญ คือ ศิลปะโรมัน ศิลปะเซลโต-เยอ-รมนิก ศิลปะคริสเตียนยุคแรก และศิลปะไบซันไทน์ในสมัยคาโรลิงเจียน ศิลปะโรมาเนสก์นิยมประติมากรรมขนาดเล็กเช่นเดียวกับสมัยไบซันไทน์ การฟื้นฟูประติมากรรมขนาดใหญ่เริ่มมีขึ้นในสมัยโรมาเนสก์ แต่การจัดองค์ประกอบประติมากรรมขนาดใหญ่ โดยมากยังมีมูลฐานมาจากงานแกะสลักงาช้างหรือแม้แต่จากภาพเขียนสีในหน้าหนังสือฉบับเขียนด้วย
http://westernartstory.wordpress.com/%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%B0/%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B9%8C/
http://www.skb.ac.th/~skb/computor/ganjana/west_medium_romanesque.htm
http://www.skb.ac.th/~skb/computor/ganjana/west_medium_romanesque.htm