วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ส่งงานชิ้นที่3ชื่้อเรื่อง: ศิลปะโรมาเนกส์

ศิลปะโรมาเนสก์
(Romanesque art)




  ศิลปะโรมาเนสก์ (Romanesque art) หรือเรียกกันว่า ศิลปะนอร์มัน หมายถึง ศิลปะที่เกิดขึ้นในยุโรปราวคริสต์ศตวรรษที่11ถึงปลายคริสต์ศตวรรษ12ศิลปะแบบโรมาเนสก์พื้นฐานของศิลปะกอธิตคซึ่งเริ่มมีบทบาทเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษ 13 การศึกษาเรื่องศิลปะยุคกลางเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่19-20 ทำให้มีการจัดแบ่งศิลปะเป็นสมัยๆคำว่า โรมาเนสก์เป็นคำที่ใช้บรรยายศิลปะตะวันตกโดยเฉพาะ สถาปัตยกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างคริสต์ศตวรรษ 11ถึง12 คำนี้ทั้งมีประโยชน์และทำให้มีความเข้าใจผิดคำนี้มาจากการทีช่างปั้นจากประเทศฝรั่งเศษทางไต้ไปจนถึงประเทศสเปนมีความรู้เรื่องส่วนประกอบของอนุเสาวรีย์แบบโรมันแต่ศิลปะแบบโรมาเนสก์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความคิดของศิลปะแบบโรมัน      เป็นการฟื้นฟูวิธีการก่อสร้างแบบโรมันเช่นเสาที่ใช้ในอาราม Saint-Guilhem-le-Désertหัวเสาวัดนี้แกะเป็นรูปใบอาแคนธัส(acanthus)ตกแต่งด้วยรอบปรุซึ่งจะพบตามอนุสาวรีย์แบบโรนมัอีกตัวอย่างหนึ่งคือเพดานวัดที่ Fuentidueña ประเทศสเปนเป็นแบบโค้งเหมือนถังไม้(barrel vault) ซึ่งใช้กันทั่วไปในสิ่งก่อสร้างของโรมแม้จะเน้นความเกี่ยวข้องกับวิธีการก่อสร้างแบบโรมันนักประวัติศาสตร์ศิลปะมืได้กล่าวถึงอิทธิพลอื่นๆที่มีต่อศิลปะแบบโรมาเนสก์ เช่นศิลปะทางตอนเหนือของทวีปยุโรป และ ศิลปะแบบแทนไซน์ การวิวัฒนาการของ ศิลปะโรมาเนสก์เอง


อารยธรรม
       สมัยนั้นระบบอาราม หรือ สำนักสงฆ์ (monasticism) มีความนิยมกันมาก ปัจจัยนี้ทำให้ศิลปะของ     โรมาเนสก์เผยแพร่อย่างรวดเร็ว เพราะมีการสร้างอารามใหม่ขึ้นทั่วไปในทวีปยุโรประยะนั้นมีการสถาปนานิกายใหม่ๆ ขึ้มากรวมทั้ง นิกายซิสเตอร์เชียน (Cistercian),คลูนิค(Cluniac)และ คาร์ธูเชียน  (Carthusian) เมือมีนิกายใหม่ก็มีผู้ติดตาม เมื่อมีผู้ติดตามก็ต้องมีการสร้างอารามใหม่ขึ้นทั่วยุโรป
อารยรรมใหม่นี้นอกจากจะเป็นแหล่งการศึกษาทางศาสนาแล้ว ทางวัดก็ยังมีการคัดหนังสือจากภาษาละติน และกรึก รวมทั้งหนังสือที่แปลมาจากภาษาภาษาอาหลับ ทางวิชาคณิตศาสตร์และแพทย์ศาสตร์หนังสือเหล่านี้แต่ละหน้าจะตกแต่งด้วยลวดลายอย่างหยดย้อยสวยงาม ศิลปะการตกแต่งหนังสือเรียกกันว่าหนังสือวิจิตร
อิทธิพลทางศาสนา
      โรมาเนสก์เป็นศิลปะที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงก้บคริสตร์ศาสนา สถาปัตยกรรมโร-มาเนสก์สื่อสารให้คริสต์ชนได้เห็นถึงแก่นของความเชื่อทางศาสนา จากหน้าจั่วที่มักจะเป็นรูปสลักนูนต่ำของการตัดสินครั้งสุดท้าย (Last Judgment) เนื้อหาและความน่าเกรงขามของฉากนี้ทำให้ผู้เห้นมึความรู้สึกว่ากำลังเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเข้าไปภายในก็จะเห็นภาพเขียนฉากต่างๆจากคัมภีรืไบเบิลทั่วไปทั้งวัดไม่ว่าจะเป็นที่ประตู  บนเสาหรือผนัง  ภาพเขียนโร-  มาเนสก์มีอิทธิพลโดยตรงมาจากศิลปะแบบไบแซนไทน์ แต่งานของศิลปินโรมาเนสก์จะมีความเป็นนาฏกรรมมากขึ้นและมีความอ่อนช้อยกว่าไบแซนไทน์เห็นได้จากความพริ้วของเสื้อผ้า องค์ประกอบนี้ทำให้ผู้ดูเกิดความสะเทือนทางอารมณ์มากกว่าศิลปะยุคก่อนหน้านั้น มีลักษณะของการผสมสานระหว่างศิลปะโรมันกับศิลปะของอนารยชนเยอรมันในช่วงคริศต์ศตวรรษที่ 11-12  ได้แก่

1 .งานสถาปัตยกรรม  จะมีลักษณะเด่นคือ การสร้างวิหารขนาดใหญ่เป็นศูนย์กลางของวัด หลังคารูปโค้ง แต่มิใช่หลังคาโดมเหมือนศิลปะไบแซนไทน์ อาคารหนาทึบ คล้ายป้อมปราการ มีหน้าต่างแบบวงล้อเป็นรูปวงกลมที่ถูกแบ่งออกเป็นซี่ๆ ผลงานชิ้นสำคัญ คือวิหารแซงต์เอเตียนน์ ในฝรั่งเศส และหอเอนปิ ซา ในอิตาลี  สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ (Romanesque architecture) เป็นคำที่บรรยายลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตกที่เริ่มราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 ไปจนถึงสมัยสถาปัตยกรรมกอธิคระหว่างคริสต์ศตวรรษที่12 สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ที่อังกฤษจะเรียกกันว่า “สถาปัตยกรรมนอร์มัน” ลักษณะเด่นๆของสถาปัตยกรรมยุคนี้คือความเทอะทะ เช่นความหนาของกำแพง ประตูหรือหลังคาเพดานโค้งประทุน เพดานโค้งประทุนซ้อน การใช้โค้งซุ้มอาร์เคดในระหว่างช่วงเสาหนึ่ง ๆ และในแต่ละชั้นที่ต่างขนาดกัน เสาที่แน่นหนา หอใหญ่หนัก และ การตกแต่งรอบโค้ง (เช่นซุ้มประตูหรืออาร์เคด (arcade) ลักษณะตัวอาคารก็จะมีลักษณะเรียบ สมส่วนมองแล้วจะเป็นลักษณะที่ดูขึงขังและง่ายไม่ซับซ้อน สถาปัตยกรรมกิธิคที่ตามมา สถาปัตยกรรมจะพบทั่วไปในทวีปยุโรปไม่ว่าจะเป็นประเทศใดหรือไม่ว่าจะใช้วัสดุใดในการก่อสร้าง  สถาปัตยกรรม เป็นการก่ออิฐฉาบปูน มีหลังคาทรงโค้งกากบาทและมีลักษณะสำคัญ คือมีความหนักแน่น ทึบคล้ายป้อมโบราณ


1.มีโครงสร้างวงโค้งอย่างโรมัน
2.มีหอสูง 2 หอ หรือมากกว่านั้น
3.มีช่องเปิด ตามหน้าต่างหรือประตูทำเป็นโครงสร้างวงโค้งวางชิด ๆ กัน
4.มีหัวคานยื่นออกนอกผนัง เป็นคิ้วตามนอนนอกอาคาร
5.มีหน้าต่างแบบวงล้อ เป็นรูปวงกลมที่ถูกแบ่งออกเป็นซี่
สำหรับงานศิลปกรรมอื่นๆ ส่วนมากมักเป็นงานแกะสลักงาช้างขนาดเล็กๆ หรือไม่ก็เป็นงานที่เขียนบนหนังสือแบบวิจิตร เรื่องราวของงานศิลปะจะนำมาจากพระคัมภีร์ฉบับเก่าและใหม่ ตำนานโบราณ ชีวประวัตินักบุญรูปเปรียบเทียบความดีกับความชั่ว หรือลวดลายต่างๆ เป็นรูปดอกไม้ และรูปเรขาคณิต



             2.จิตกรรม  งานจิตรกรรมฝาผนังที่แสดงถึงเรื่องราวทางศาสนา เขียนด้วยสีปูนเปียก (Fressco)ตกแต่งผนัง ซึ่งปัจจุบันได้ถูกทำลายโดยดินฟ้า อากาศ เสียหายเป็นส่วนใหญ่ และได้รับการเขียนทับใหม่โดยศิลปินในสมัยต่อมา จิตรกรรมอีก ลักษณะหนึ่งคือจิตรกรรมประกอบหนังสือหรือประกอบคัมภีร์ไบเบิล ในช่วงพุทธศ  ตวรรศที่ ๑๖-๑๗ จิตรกรรมโรมาเนสก์มีรูปร่างลักษณะแบน และแสดงเส้นเป็นระเบียบมั่นคงที่มีพลังจาก  การบิดเอี้ยว และวนเป็นวง ผลงานจิตรกรรมภายหลังพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เริ่มมีมิติทางรูปทรงอย่างงานประติมากรรมมากขึ้น แต่ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา  เท่าไรนัก อิทธิพลของศิลปะไบเซนไทน์มักมีปรากฏอย่างชัดเจนในส่วนของเสื้อผ้าที่เป็นรอย ยับจีบคล้ายรูปเรขาคณิต การจัดวางท่าทางรูปคนให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

3.งานประติมากรรม ส่วนใหญ่เป็นงานแกะสลักหินตามฝาผนังเหนือประตูหน้าต่าง สถาปัตยกรรมเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล เกี่ยวกับคริสต์ศาสนา ใช้ลวดลายแบบเรขาคณิตตามแบบชนเผ่าเยอรมันโบราณ รูปแกะสลักมักยาวเรียวไม่เหมือนจริง ซึ่งแตกต่างจากศิลปะกรีกและโรมันที่เน้นรูปทรงสัดส่วนเหมือนจริงตามธรรมชาติ เช่นรูปพระเยซูบนประตูทางเข้าโบสถ์แซงฟังฝรั่งเศส
                           

         กล่าวโดยว่า ศิลปะโรมาเนสก์มีแหล่งกำเนิดสำคัญ คือ  ศิลปะโรมัน  ศิลปะเซลโต-เยอ-รมนิก  ศิลปะคริสเตียนยุคแรก และศิลปะไบซันไทน์ในสมัยคาโรลิงเจียน ศิลปะโรมาเนสก์นิยมประติมากรรมขนาดเล็กเช่นเดียวกับสมัยไบซันไทน์  การฟื้นฟูประติมากรรมขนาดใหญ่เริ่มมีขึ้นในสมัยโรมาเนสก์  แต่การจัดองค์ประกอบประติมากรรมขนาดใหญ่  โดยมากยังมีมูลฐานมาจากงานแกะสลักงาช้างหรือแม้แต่จากภาพเขียนสีในหน้าหนังสือฉบับเขียนด้วย








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น